ปิดทองหลังพระ

























"การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็น ก็ต้องปิด..
ว่าที่จริงแล้ว คนโดยมากไม่ค่อยชอบ " ปิดทองหลังพระ"กันนัก
เพราะว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า...
ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้...."
( พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๐๖ )


คนไม่มีความสุจริต คนไม่มีความมั่นคง ชอบแต่มักง่าย
ไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ส่วนรวมที่สำคัญอันใดได้
ผู้ที่มีความสุจริตและความมุ่งมั่นเท่านั้น...
จึงจะทำงานสำคัญยิ่งใหญ่ที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แท้จริงได้สำเร็จ...

งานทุกอย่างมีด้านหน้าและด้านหลัง เหมือนเหรียญบาท...
งานด้านหน้านั้นมีคนทำกันเยอะแยะ และมีคนแย่งกันทำ...
เพราะมีผลเห็นได้ชัดและก็ปูนบำเหน็จกันได้เต็มที่
แต่งานด้านหลังที่ไม่ปรากฏต่อสายตาของคน...
ต้องเป็นคนที่เข้าใจงานและหน้าที่ของตัวจริงๆ ถึงจะทำได้
และต้องเสียสละด้วย...


เพราะ...งานด้านหลังเป็น "งานปิดทองหลังพระ"
ถ้าทำดีแล้วต้องไม่ให้เห็นปรากฏ...
และต้องยอมรับว่าไม่ได้อะไรตอบแทนเลย
นอกจากความภูมิใจในการทำงานในหน้าที่ของตน...


ความสุจริตก็ดี ความมุ่งมั่นในประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี
จะเกิดขึ้น และยั่งยืนอยู่ได้ด้วยอะไร...
ความสุจริตและความมุ่งมั่นในประโยชน์นั้น
จะเกิดขึ้นยั่งยืนอยู่ได้ด้วยสติกับปัญญา สติ
คือความระลึกรู้ ปัญญานั้น
ตามภาษาที่ใช้กัน มีความหมายหลายอย่างเช่น

"เจ้าปัญญา"แปลว่า ฉลาดหลักแหลมมีเล่ห์เหลี่ยม
"ทาสปัญญา" แปลว่า โง่ ทราม
"จนปัญญา" แปลว่า หมดทางคิด
"ไม่มีปัญญา" แปลว่า ไม่มีความสามารถก็ได้ ไม่มีความรู้ความคิดก็ได้
ไม่มีทาง ไม่มีโอกาสก็ได้  ไม่มีทรัพย์ก็ได้


ในที่นี้ จึงต้องจำกัดความหมายลงไปว่า
ปัญญา คือ"ความรู้ชัด" ที่เกิดขึ้นจากความฉลาด
สามารถคิดพิจารณาอย่างถูกต้องแยบคายตามเหตุตามผล
และการที่ว่า "ความสุจริตและความมุ่งมั่นจะบังเกิดยั่งยืนอยู่ได้
เพราะสติกับปัญญา" นั้น หมายความว่า เมื่อบุคคลมีสติรู้ตัว
มีปัญญารู้ชัดในคุณค่าของความสุจริต
และการสร้างสรรค์ความเจริญบนพื้นฐานของความสุจริตแล้ว
ก็จะเกิดเป็นความนิยม เชื่อมั่น และพึงใจในความดีสิ่งดี
และการกระทำดี แล้วความมั่นใจพึงใจนั้น
ก็จะอุดหนุนประคองความสุจริต พร้อมทั้งความมุ่งมั่นที่จะทำดี
ให้คงอยู่ได้ตลอดไปไม่เสื่อมถอย

การมีความรู้ความถนัดทางทฤษฎีประการเดียว...
ไม่เพียงพอที่จะทำให้บุคคลสามารถปฏิบัติงานได้เต็มที่
ผู้ที่ฉลาดสามารถแต่ในหลักวิชา...

โดยปรกติวิสัยจะได้แต่เพียงชี้นิ้วให้ผู้อื่นทำ ซึ่งเป็นการไม่ศักดิ์สิทธิ์
ไม่อาจทำให้ผู้ใดเชื่อถือหรือเชื่อฟังอย่างสนิทใจได้...
เหตุด้วยไม่แน่ใจว่าผู้ชี้นิ้วเองจะรู้จริง ทำได้จริงหรือหาไม่
ความสำเร็จทั้งสิ้นเกิดขึ้นได้เพราะการลงมือกระทำ
ดังนั้น.. ผู้ที่ชำนิชำนาญทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ
จึงจัดว่ามีคุณสมบัติครบถ้วน และมีขีดความสามารถสูง
เป็นที่เชื่อใจและวางใจได้ว่า จะดำเนินงานทั้งปวงอย่างมีประสิทธิภาพ...
เพราะสามารถทำงาน สั่งงาน และสั่งคนได้อย่างถูกต้องแท้จริง...

 “คำของพ่อ” คือ กระแสพระราชดำรัสพระบรมราโชวาทนั้น
มีคุณค่ามหาศาล ใคร่ขอให้ประชาชนชาวไทยปฏิบัติตาม
“คำของพ่อ” คือ “ปิดทองหลังพระ” อันปรากฏในพระบรมราโชวาทต่างๆ
เมื่อพวกเราซึ่งเป็นลูกของพ่อหลวงจะพึงปฏิบัติ...
ทุกคนต้องคิดถึงการทำงานในการอาชีพและส่วนรวม
ทุกคนอยากทำงานแบบ “ปิดทองหน้าพระ”
ไม่ค่อยมีใครทำงานแบบ “ปิดทองหลังพระ”
จึงขอให้พวกเรา รวมทั้งอาตมาด้วย มาทำงานให้ถูกต้องแบบ
“ปิดทองหลังพระ” กันบ้าง


---------------------------------------------

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

“จดหมายจากในหลวง...ถึงสมเด็จพระเทพฯ”


จดหมายถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีไปถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ 

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำเผยแพร่...

ลูกพ่อ...ในพื้นแผ่นดินนี้
ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด...มีความมืด และความสว่าง...ความดีและความชั่ว ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว ทุกคนปรารถนาความสว่าง ปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน แต่ความปรารถนานั้นจักสำเร็จลงได้ จักต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่าง หรือความดีนั้น ทางที่จักต้องไปให้ถึงความดีก็คือ "รักผู้อื่น" เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา... ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้

พ่อขอบอกลูกดังนี้...


๑. ขอให้ลูกมองผู้อื่นว่า เป็ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต

๒. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม


๓. มีความสันโดษ คือ...

  • มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือ ได้อย่างไรก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี...ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือ มีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย
  • ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลม...จะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
  • พอใจตามสมควร คือ ทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน
  • ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน

๔. มีความมั่นคงแห่งจิต คือ ให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้ภาวนาว่า...มีลาภ มียศ สุขทุกข์ปรากฏ สรรเสริญนินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า...“ชั่งมัน”

พ่อ ๖/๑๐/๒๕๔๗




๕ ธันวาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช..."วันพ่อแห่งชาติ"







พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมาน์ ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเชสท์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๐ เป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี) และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์์


วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคต เดิมทีพระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ว่า...จะครองราชสมบัติเพียงชั่วระยะเวลาจัดงานพระบรมศพพระบรมเชษฐาให้สมพระเกียรติ เพราะขณะนั้นพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมพรรษา ๑๘ พรรษาเศษ ไม่เคยเตรียมพระองค์เพื่อดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์มาก่อนเลย... แต่ด้วยความจงรักภักดีของเหล่าอาณาประชาราษฎร์ที่มีต่อพระองค์อย่างแน่นแฟ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา


เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในวันเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาวิชาการเพิ่มเติม เมื่อกลางเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙ ระหว่างประทับรถพระที่นั่งไปสู่สนามบินดอนเมือง พระองค์ทรงได้ยินราษฎรคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า “ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน” พระองค์ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า... “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร” หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไปประมาณ ๒๐ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพบชายผู้ตะโกนทูลพระองค์ในครั้งนั้น ชายผู้นั้นกราบบังคมทูลว่า...ที่เขาร้องเช่นนั้น เพราะรู้สึกว้าเหว่และใจหายที่พระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จไปจากเมืองไทย เขาเห็นพระพักตร์เศร้ามาก จึงร้องไปเหมือนคนบ้า พระเจ้าอยู่หัวทรงตอบว่า “นั้นแหละทำให้เรานึกถึงหน้าที่...จึงต้องกลับมา”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๓ ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง เฉลิมพระบรมนามาภิไธย ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” พร้อมทั้งพระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประ-โยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และพระองค์ได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่หัวใจของชาวไทยทุกดวงแล้วว่า พระองค์ได้ทรงอุทิศทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ และกำลังความคิดในการประกอบพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ เพื่อความผาสุกของพสกนิกรของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการส่งเสริมอาชีพการเกษตร การอุตสาหกรรม การศึกษา การสาธารณสุขและการต่างประเทศ ฯลฯ

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ทำให้เหล่าพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า มอบความจงรักภักดีต่อพระองค์ด้วยการทูลไว้เหนือเกล้า เมื่อถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ทางราชการ และภาคเอกชนได้ร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลอง และประกอบสาธารณกุศลต่างๆ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล อีกทั้งยังถือเอาวันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปีเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” อีกด้วย




ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ข้าพระพุทธเจ้าในนามนิตยสาร IN THAILAND พร้อมคณะ
๕ ธันวาคม ๒๕๕๖


ขอขอบคุณเพลง "ตามรอยพระราชา"

บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
ขับร้องโดย: เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ และคณะประสานเสียงเด็กๆ
คำร้องโดย: ชนะ เสวิกุล, นิติพงษ์ ห่อนาค
ทำนองโดย: ชนะ เสวิกุล, อภิไชย เย็นพูนสุข
เรียบเรียงโดย: นันทพงศ์ ทศพร
กำกับมิวสิควิดีโอ:โดย ประพัฒน์ คูศิริวาณิชกร

บันทึกความดี ๙ คำสอนของพ่อหลวง



ขอแบ่งปันความรู้สึกห่วงใยและรักประชาชน ของในหลวงท่านด้วย ๙ คำสอน ที่พระองค์ท่านมอบให้คนไทยตลอดมา... 


๑. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ

ในวงสังคมนั้นเล่า...ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงาม สำหรับสุภาพชนรู้จัก "สัมมาคารวะ" ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยน...แต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม


๒. การเอาชนะใจตน

ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริง...ว่าชั่ว...ว่าเสื่อม เราต้องฝืน...ต้องต้านความคิด และความประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่น ที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็น...ความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ


๓. หนังสือเป็นออมสิน

หนังสือเป็นการสะสมความรู้แ ละทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมาทำมา...คิดมาแต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ "หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน" เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้




































๔. ความเพียร

การสร้างสรรค์ตนเอง...การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่า...สร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ความอดทน คือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม "สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ...บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล คือ "ดูมันครึ" แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึ" ต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้า จะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง


๕. ความรู้ตน

เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้ "รู้ตัว" การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบ และคนที่มีระเบียบดีแล้ว จำสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จ และความเจริญให้แก่ตนเอง และส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน


๖. คนเราจะต้องรับ และจะต้องให้

คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้...คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่า...ต่อไปและเดี๋ยวนี้ด้วย เมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติ ประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกัน ได้ช่วยที่ไหน...ได้ก็ช่วยด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้


๗. ความซื่อสัตย์

ความซื่อสัตย์สุจริต... "เป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง" เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง



๘. พูดจริง ทำจริง

ผู้หนักแน่นใน "สัจจะ" จะพูดอย่างไร...ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือ และความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่ายการพูดแล้วทำ คือ พูดจริง...ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม

๙. ความพอดี

ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้น จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้นตามต่อกันไปเป็นลำดับ ...ผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน.

Credit: www.recgoodness.blogspot.com ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต



คำอธิษฐาน 10 ประการ



ได้พบข้อเขียนน่าสนใจจาก Polcady35.org ซึ่งเท่าที่ทราบเป็นเว็บไซต์ของนักเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 35 บทความนี้เขียนโดยผู้ใช้นามว่า...h35 จึงขอนำมาถ่ายทอดต่อดังนี้

“...ข้าพเจ้ามีคำอธิษฐาน 10 ประการดังต่อไปนี้...” 


1. ขออย่าให้ข้าพเจ้า...เป็นคนคิดจะได้ดีอะไรอย่าง "ลอยๆ" ...นั่งนอน "คอย" แต่โชควาสนา
...โดยไม่ลงมือทำความดี หรือไม่เพียรพยายามสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตน ถ้าข้าพเจ้าจะได้ดีอะไร ก็ขอให้ได้...เพราะ..."ได้ทำความดี อย่างสมเหตุผล 


2. ขออย่าให้ข้าพเจ้า...เป็นคน "ลืมตน" ดูหมิ่น "เหยียดหยาม" ใครๆ
...ซึ่งอาจด้อยกว่าในทาง...ตำแหน่ง...ฐานะการเงิน...หรือในทางวิชาความรู้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น...ให้เกียรติตามความเหมาะสมในการติดต่อเกี่ยวข้องกัน ขอให้มี...ความอ่อนโยน...นุ่มนวล...สุภาพเรียบร้อย...
 

3. ถ้าใครพลาดพลั้งลงในการ "ครองชีวิต" หรือ "ประสบความทุกข์ ความเดือดร้อน" ขออย่าให้ข้าพเจ้า..."เหยียบย่ำซ้ำเติม" คนเหล่านั้น
แต่จงมีความกรุณาหาทางช่วยเขาลุกขึ้น...ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ร้อนแก่เขาเท่าที่จะสามารถทำได้
 


4. ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถขึ้นมา หรือมีผลงานอันปรากฏดีเด่นสูงส่งอย่างน่านิยมยกย่อง ขออย่าให้ข้าพเจ้า...รู้สึก "ริษยา" หรือ "กังวลใจ" ในความเจริญของผู้นั้นเลย
ขอให้ข้าพเจ้าพลอยยินดีในความดี...ความรู้ความสามารถของบุคคลเหล่านั้น...ด้วยใจจริง ช่วยส่งเสริมสนับสนุน และให้กำลังใจแก่คนเหล่านั้น อันเข้าลักษณะการมี “มุทิตาจิต” ในพระพุทธศาสนา

5. ขอให้ข้าพเจ้า...เป็นผู้ "มีน้ำใจ" เข็มแข็งอดทน
อย่าเป็น... "คนขี้บ่น" ในเมื่อมีความ "ยากลำบาก" อะไรเกิดขึ้น ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับความยากลำบากนั้นๆ โดยไม่ต้องอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ขออย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาที่พึ่ง เพราะ..."ไม่รู้จักทำตนให้เป็นที่พึ่งของตน" ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนชอบได้อภิสิทธิ์ คือสิทธิเหนือคนอื่น เช่น... ไปตรวจที่โรงพยาบาล ก็ขอให้พอใจนั่งคอยตามลำดับ อย่าวุ่นวายจะเข้าตรวจก่อนทั้งที่ตนไปถึงทีหลัง


6. ข้าพเจ้าทำงานที่ใด...ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบ หรือคิดเอาแต่ได้ในทางส่วนตัว
เช่น... เถลไถลไม่ทำงาน... รีบเลิกงานก่อนกำหนดเวลา... ขอจงมีความขยันหมั่นเพียร พอใจในการทำงานให้ได้ผลดีด้วยความตั้งใจ เพื่อประโยชน์ของตนเอง
ข้อนี้รวมทั้ง ขอให้ข้าพเจ้า... "อย่าเอาเปรียบชาติบ้านเมือง" เช่น ในเรื่องการเสียภาษีอากร ถ้ารู้ว่ายังเสียน้อยไปกว่าที่ควร หรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ขอให้ข้าพเจ้า... "มีความตั้งใจที่จะชดใช้แก่...ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ"
เมื่อมีโอกาสตอบแทนเมื่อไร...ขอให้รีบตอบแทนโดยทันที เช่น การบริจาคบำรุงโรงพยาบาล บำรุงการศึกษา หรือบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์อื่นๆ บริจาคให้มากกว่าที่รู้สึกว่ายังเป็นหนี้ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ
ขออย่าให้...ข้าพเจ้า "คิดเอาเปรียบ หรือโกงใคร" เลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะซื้อของ...ถ้าเขาถอนเงินเกินมา... ก็ขอให้ข้าพเจ้ายินดีคืนให้เขากลับไปเถิด อย่ายินดีว่ามีลาภ...เพราะเขาทอนเงินเกินมาให้เลย


7. ขออย่าให้...ข้าพเจ้า "มักใหญ่ใฝ่สูง"..."อยากมีหน้ามีตา"...อยากมีอำนาจ... อยากเป็นใหญ่เป็นโต
ขอให้ข้าพเจ้าใฝ่สงบ... มีความเป็นอยู่อย่าง "ง่าย ๆ" ไม่ต้อง "เดือดร้อน" ในเรื่องการแข่งดีกับใครๆ ทั้งนี้...เพราะข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความอยากมีหน้ามีตา ความอยากมีอำนาจ และอยากเป็นใหญ่เป็นโตนั้น มัน "เผา" ให้เร่าร้อน ยิ่งต้องแข่งดีกับใครๆ ด้วยก็ยิ่งทำให้เกิด "ความคิดริษยา" คิดให้ร้ายคู่แข่งขัน
ถ้าอยู่อย่างใฝ่สงบมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ก็จะเย็นอกเย็นใจ ไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากถอนใจ...เพราะเกรงคู่แข่ง "จะชนะ" ไม่ต้องทอดถอนใจเพราะไม่สมหวัง ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธภาษิตว่า "ผู้ชนะย่อมก่อเวร...ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ละความชนะความแพ้เสียได้...ย่อมอยู่เป็นสุข" ดังนี้เถิด

8. ขอให้...ข้าพเจ้าหมั่นปลูกฝังความรู้สึก "มีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น" และ "มีกรุณา" คิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำให้ปูพื้นจิตใจด้วย..."เมตตากรุณา" ดังกล่าวนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีใครเป็นศัตรูที่จะต้องคิดกำจัดตัดรอนเข้าให้ถึงความพินาศ
ใครไม่ดี...ใครทำชั่วทำผิด... ขอให้เขา..."คิดได้กลับตัวได้" ถ้ายังขืนทำต่อไป...ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาจะต้อง "รับผลแห่งกรรมชั่ว" ของเขาเอง เราไม่ต้องคิด..."แช่งชัก" ให้เขาพินาศ จะต้องแช่งให้ใจเราเดือดร้อนทำไม?... ขอให้ความเมตตาคิดจะให้เป็นสุข และกรุณาคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์

9. ขอให้ข้าพเจ้า...อย่าเป็นคน "โกรธง่าย" ขอให้มีสติรู้ตัวโดยเร็วว่า...กำลังโกรธ

จะได้สอนใจตนเองให้บรรเทา "ความโกรธ" ลง หรือ...ถ้าห้ามใจให้โกรธไม่ได้...ขออย่าให้ถึงกับคิดประทุษร้ายผู้อื่น หรือคิดอยากให้เขาถึงความพินาศ ซึ่งนับเป็น “มโนทุจริต”
ขอจงสามารถควบคุมจิตใจให้เป็นปรกติได้โดยรวดเร็ว เมื่อมีความไม่พอใจหรือความโกรธเกิดขึ้นเถิด ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็น..."คนผูกโกรธ" ...ให้รู้จักให้อภัย ปลอดโปร่งจากการผูกอาฆาตจองเวร
ขอให้มีความ "เห็นอกเห็นใจผู้อื่น" โดยรู้จักเปรียบเทียบกับตัวข้าพเจ้าเองว่า...ข้าพเจ้าเองก็อาจทำผิด...พูดผิด...คิดผิด...หรืออาจล่วงเกินผู้อื่นได้ ทั้งโดยมีเจตนา และไม่เจตนา ก็ข้าพเจ้าเองยังทำผิดได้ เมื่อผู้อื่นทำอะไรผิดพลาดล่วงเกินไปบ้าง ก็จง..."ให้อภัยแก่เขาเสียเถิด" อย่าผูกใจเจ็บหรือเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นมาขังอยู่ในจิตใจ...ให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเองเลย


10. ขอให้ข้าพเจ้า...มีความรู้ความเข้าใจและสอนใจตัวเองได้เกี่ยวกับ... "คำสอนของพระพุทธศาสนา" ทั้งทางโลกและทางธรรม
กล่าวคือ...พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จัก "สร้างความเจริญแก่ตนในทางโลก" และ "สอนให้ประพฤติปฏิบัติ...ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น" ให้มีปัญญาเข้าใจปัญหาแห่งชีวิต เพื่อจะได้ไม่ติดไม่ยึดถือ มีจิตใจเบาสบาย...อันเป็นความเจริญในทางธรรม
ซึ่งรวมความแล้วสอนให้เข้ากับโลกได้ดี ไม่เป็นภัยอันตรายแก่ใครๆ แต่กลับเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ แต่ก็ได้สอนไปในทางธรรมให้เข้ากับธรรมได้ดี คือ...ให้รู้จักโลก รู้เท่าโลก และขัดเกลานิสัยใจคอให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อบรรลุความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์
ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจทั้งทางโลกทางธรรม และปฏิบัติตนให้ถูกต้องได้ทั้งสองทาง รวมทั้งสามารถ...หา "ความสงบใจ" ได้เอง และสามารถแนะนำชักชวนเพื่อนร่วมชาติ ร่วมโลก ให้ได้ประสบความสุขสงบได้ตามสมควรเถิด...”

ที่มา: www.pattanakit.net ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต