ชาเขียวกับคนไทย

สายด่วน อย. 1556

าเขียว เป็นชาที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันมานานกว่า 100 ปี ในขณะที่คนไทยเพิ่งรู้จักกันไม่เกิน 10 ปีมานี้เองคนญี่ปุ่นนิยมดื่มชาเขียวร้อนๆกัน เพราะได้พิสูจน์แล้วว่า "ชาเขียวร้อน" มีคุณสมบัติลดอนุมูลอิสระที่เป็นพิษในร่างกายคนเรา และขับไขมันส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะและอุจจาระ


ชาเขียวชึ่งทำให้ร่างกายสามารถขับพิษ และลดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของชาเขียวร้อน ที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันตั้งแต่เด็กจนแก่ แต่...คนไทย นิยมดื่มชาเขียวแช่เย็น!!!... ซึ่งคนไทยส่วนมากไม่เคยรู้จักคุณสมบัติที่แท้จริงของชาเขียวเลย ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกขบขันในใจแถมหัวเราะเยาะในใจว่า...ในอนาคตอันใกล้นี้ คนไทยจะมีร่างกายที่อ่อนแอกว่าคนญี่ปุ่น เพราะอะไรงั้นหรือ???... เพราะว่าชาเขียวที่มีคุณอนันต์นั้น และย่อมมีโทษมหันต์เช่นกัน เพราะ...ชาเขียวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายในขณะที่ร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันหากดื่มชาเขียวตอนที่เย็นแล้วกลับทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย กล่าวคือ... 

การดื่มชาเขียวแช่เย็น...นอกจากไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกายได้แล้ว ยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง

นอกจากนี้ "ชาเขียวเย็น" ยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา อาทิเช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบฯ เหล่านี้ เป็นต้น เรายังมีการทดสอบให้เห็นอย่างง่ายๆและชัดเจนเกี่ยวกับอันตรายที่กล่าวมาเบื้องต้นนี้...ให้ท่านเห็นได้ด้วยตนเอง โดยการนำชาเขียวแช่เย็น ยิ่งเย็นยิ่งเห็นชัดนำมาเทลงในชามก๋วยเตี๋ยว จะพบว่าหลังจากเทชาเขียวแช่เย็นลงไปได้ครู่เดียวจะมีคราบไขมันลอยให้เห็นเป็นคราบบนน้ำซุป หรือเกาะเป็นคราบที่ชามก๋วยเตี๋ยวทันที...แล้วร่างกายท่านล่ะ!!!.... จะเกิดอะไรขึ้น???...เมื่อดื่มชาเขียวแช่เย็นเข้าไป....สยองไหมละ!!!.




ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงไม่ดื่มชาเขียวแช่เย็นอย่างเด็ดขาด แต่จะดื่มชาเขียวร้อนอย่างชาญฉลาด ในขณะที่คนไทยที่คิดว่าตนเองฉลาดกลับดื่มชาเขียวแช่เย็นกันอย่างเอร็ดอร่อยแบบฉล๊าด ฉลาด...




ที่มา: www.oknation.net
ขอบคุณภาพจาก google

50 อัพ เป็นเพียงตัวเลข...ยังไม่แก่เกินเที่ยว












































ผู้สูงอายุหลายคนไม่กล้าไม่เที่ยว...เพราะกลัวว่าโรคประจำตัว หรือโรคเรื้อรังที่เป็นอยู่จะกำเริบ

ซึ่งเป็นทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง... เพราะจะทำให้สุขภาพกายและใจแย่ลงเนื่องจากขาดการยืดเส้นยืดสาย การบริหารประสาทสัมผัสทั้ง 5 การออกไปพบปะสังสรรค์กับผู้อื่น โรคประจำตัวเดิมที่เป็นอยู่ก็ไม่ดีขึ้นแถมอาจได้โรคอื่นมาเพิ่ม เช่น โรคซึมเศร้า...นอนไม่หลับ...วิตกกังวล...


“การท่องเที่ยว... เป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่งสำหรับผู้สูงอายุ เพราะ...ทำให้ได้ออกกำลังกายไปในตัว ได้สูดอากาศบริสุทธิ์...ได้ตื่นตาตื่นใจกับสถานที่แปลกใหม่ ทำให้เกิดความกระฉับกระเฉง...กระชุ่มกระชวย”






สำหรับวิธีการเตรียมสุขภาพ...

เรื่องแรก... อาหารควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ให้ครบห้าสีเพื่อให้ได้วิตามิน และเกลือแร่ที่คนวัยนี้ต้องการมากเป็นพิเศษ และการออกกำลังกายโดยเลือกให้เหมาะกับวัย 50 ปีขึ้นไป ร่างกายจะได้พร้อม


นอกจากนี้ควรเช็คสภาพอากาศและพื้นที่ที่จะไป เพื่อเตรียมเครื่องนุ่งห่มและรองเท้าที่เหมาะสม
สุดท้ายคิดไว้เสมอว่าจะไปเที่ยว...เพื่อเสริมสร้างสุขภาพกายใจให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปสำหรับผู้สูงวัยที่มีโรคประจำตัวที่ต้องพึงระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะโรคเบาหวานหัวใจ ความดัน ก่อนเที่ยวควรพบแพทย์ให้ตรวจความพร้อมของร่างกาย


นอกจากนี้ ควรเตรียมหาที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์โรงพยาบาลใกล้สถานที่ที่ไปเที่ยวด้วย เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งเตรียมบัตรประจำตัวว่าเป็นโรคประจำตัว และได้รับยาอะไรอยู่ ถ้าเป็นต่างประเทศควรมีทั้งภาษาสากล และภาษาท้องถิ่นที่ไปท่องเที่ยว


ของใช้จำเป็นลำดับถัดมา...ให้เตรียม "กระเป๋าพกติดตัว" เพื่อบรรจุยาหรืออุปกรณ์ที่ต้องใช้เป็นประจำ

กรณีเป็น "โรคเบาหวาน" ควรตรวจเท้าทุกวัน ถ้ามีแผลพุพอง รอยแดง บวมให้รีบรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และก่อนเดินทางควรแจ้งสายการบิน/บริษัททัวร์ ถึงอาหารที่มีเหมาะกับโรคที่เป็น เช่น อาหารมีแคลอรีต่ำ อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน


แม้การเตรียมตัวเพื่อท่องเที่ยวสำหรับคนวัย 50 ปีขึ้นไป จะไม่ง่ายเท่าคนหนุ่มสาว...แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปจนต้องปิดกั้นโอกาสดีๆ ที่จะช่วยเติมสีสันให้ชีวิต.



















ขอขอบคุณข้อมูลจาก: www.oknation.net
Credit picture by:


Issue: IN Thailand Vol.54 December 2010

วัดมหาบุศย์ ตำนานแห่งแม่นาคพระโขนง ที่อ่อนนุช กรุงเทพฯ

เคยมีหลายคนพยายามค้นหาว่า..."ตำนานของแม่นาคพระโขนง" นั้นมีจริงหรือไม่?

แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกคนต่างก็ได้รับการยืนยันว่า จริงในแบบไร้ซึ่งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของ วัดมหาบุศย์หรือเรื่องของ แม่นาคต่างก็มาในแบบลมปากที่เล่าต่อๆกันมาแบบค่อนข้างน่าเชื่อถือ และนี่คือ ตำนานแม่นาคฉบับวัดมหาบุศย์ ที่ท่านเจ้าอาวาส เล่าความทรงจำสมัยเด็กที่เคยฟังจากโยมบุญธรรม ซึ่งเป็นเหลนของนางนาคให้หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งฟัง
ตำนานรักของแม่นาคเป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นราวปี 2310 สมัยก่อนเสียกรุงครั้งที่สอง ช่วงนั้นมีการตั้งค่ายฝึกกองกำลังสำรองที่วัด นางนาคได้ตั้งท้องและเมื่อถึงกำหนดคลอดปรากฏว่าหมอตำแย และพี่เลี้ยงไม่สามารถช่วยชีวิตได้ และตามธรรมเนียมศพผีตายโหงจะถูกนำไปฝังจึงได้ฝังร่างของนางไว้ใกล้กับต้นตะเคียนคู่...

ส่วนผีนางนาคไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เล่ากัน...นางแค่อาลัยรักในตัวสามีจนกระทั่งมีผู้ที่มีความดี และมีเมตตาท่านหนึ่งได้พูดขอร้องและชี้ทางสว่างให้สุดท้ายนางจึงยอมจากไป...

จากคำบอกเล่าของท่านเจ้าอาวาสมา...สู่งานเขียนที่มีคนหยิบยกไปใช้กันมากมายของ ก.ศ.ร.กุหลาบ ตีพิมพ์ในสยามประเภทฉบับวันที่ 10 มี.ค.2442 ถือว่าเป็นงานเขียนเวอร์ชันที่เก่าแก่ที่สุด ก.ศ.ร.อธิบายว่า พระศรีสมโภช(บุด)วัดสุวรรณผู้สร้างวัดมหาบุศย์ เล่าถวายเสด็จอุปัชฌาย์ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ความว่า...นางนาคอาศัยอยู่ที่พระโขนง เป็นภรรยาของนายชุ่ม ก่อนจะเสียชีวิตระหว่างคลอดบุตร นายชุ่มจึงนำศพไปฝังที่วัด แต่เพราะนายชุ่มเป็นคนรวย ลูกๆ กลัวว่าพ่อจะมีภรรยาใหม่แล้วจะแจกจ่ายเงินไปหมด จึงแกล้งเป็นผีหลอกคน ไม่ให้พ่อแต่งงานใหม่...


























อีกเวอร์ชันเป็นงานเขียนประวัติของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) รวบรวมโดย.ล.พระมหาสว่างเสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา พ.ศ. 2473 บรรยายไว้ว่า...

หลังจากที่นางนาคออกอาละวาดหนัก...สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านรู้เรื่อง จึงลงไปค้างที่วัดมหาบุศย์ และเรียกนางนาคขึ้นมาคุยกัน...
ผลสุดท้ายท่านเจาะเอา 'กระดูกหน้าผาก' ของนางมาลงยันต์และทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ผีนางนาคก็ไม่ออกมาอาละวาดอีกเลย...

เรื่องนี้ สมบัติพลายน้อยเป็นอีกผู้หนึ่งที่ค้นคว้า และเขียนเรื่องของแม่นาค สรุปไว้ว่า...กระดูกหน้าผากแม่นาคนั้น...สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้ประทานให้กับ...สมเด็จหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) และประทานให้หลวงพ่อพริ้ง (พระครูวิสุทธิ์ศีลาจารย์) อีกต่อ ...จนมาถึง กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ไม่นานนักแม่นาคก็มากราบลา...จากนั้นก็ไม่มีใครพบกระดูกหน้าผากของแม่นาคอีก


เชื่อว่า หลายๆคนที่เคยได้ยินได้ฟังประโยคอมตะอย่าง พี่มากขาาาา... นอกจากจะออกอาการขนลุกแล้วคงจะอดนึกถึงหนังผีไทยน่าสะพรึงขวัญ เรื่อง แม่นาคพระโขนง ไม่ได้ ซึ่งนอกจากหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังผีที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศขนหัวลุกแล้ว หนังเรื่องแม่นาคพระโขนง ยังเป็นตำนานความรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจผู้ชมอย่างมิรู้คลาย กับความรักที่มั่นคงของนางนาคที่มีต่อสามี แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้...


มีเรื่องเล่ากันว่าวัดมหาบุศย์ เป็นวัดราษฎร์ที่เก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.2305 ในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดย พระมหาบุตร วัดเลียบ (วัดราชบูรณะ) ที่ได้เดินทางมาเยี่ยมญาติโยมของท่านในคลองพระโขนง ชาวบ้านรู้ข่าวจึงได้นิมนต์ให้อยู่และนำสร้างวัดขึ้นโดยให้ชื่อว่า วัดมหาบุศย์ตามชื่อของท่าน และยังเป็นวัดที่มีส่วนเกี่ยวพันกับหนังผีคู่เมืองไทยอย่างเรื่อง "แม่นาคพระโขนง" อีกด้วย


...เมื่อมาถึงยังวัดมหาบุศย์ จะเห็นป้ายชี้ทางไปยัง "ศาลย่านาค" ซึ่งศาลนี้เองเป็นเหมือนจุดมุ่งหมายของใครหลายๆคนโดยเฉพาะ "คู่รัก" ก่อนที่จะไปยังศาลย่านาคควรจะแวะเข้าไปกราบขอพรจากหลวงพ่อยิ้มใน วิหารหลวงพ่อยิ้ม เสียก่อนเพราะอยู่ตรงด้านหน้าวัด วิหารนี้เป็นวิหารเล็กๆ ภายในประดิษฐานหลวงพ่อยิ้ม ลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย และพระพุทธรูปอีกหลายองค์ คนที่มากราบไหว้หลวงพ่อยิ้มมักจะเสี่ยงเซียมซีควบคู่ไปด้วย


ถัดจากโบสถ์จะเห็นป้ายบอกทางไปยังริมน้ำคลองประเวศบุรีรมย์ ซึ่งมี ศาลย่านาคตั้งอยู่เมื่อเข้ามาถึงเห็นผู้คนมากมายมาจุดธูปจุดเทียนขอพรจากย่านาคส่วนมากจะเป็นเด็กหญิงรุ่นๆ ที่มาเป็นคู่ ชายหญิงมากราบไหว้ขอพรกันอย่างหนาตา ผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอกพันอยู่รอบต้นไม้อย่างหนาแน่น...ชุดไทยชุดเด็ก ของเล่นเด็ก รวมถึงรูปวาดแม่นาค มีให้เห็นมากมายภายในศาลย่านาคแห่งนี้

































































































นอกจากนี้ยังมี "ศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง" อยู่ด้วย คนที่มาจะนิยมมาขอพรในหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องการงาน การเรียน โชคลาภ แต่ที่โดดเด่นก็คงจะเป็นเรื่องของความรัก เพราะตามตำนานเรื่องแม่นาคพระโขนงชาวบ้านในละแวกแถวนี้เขาเล่าลือกันมาว่า...


ที่ริมคลองวัดมหาบุศย์มีเรือนหลังเล็กๆไกลผู้คนชาวบ้านต่างรู้จักกันดีว่านี่คือเรือนของแม่นาคกับทิดมากคู่ผัวเมียที่รักกันมาก ในช่วงที่แม่นาคตั้งท้อง ทิดมากถูกเรียกไปเป็นทหารเกณฑ์ ยังไม่ทันพ้นทหารกลับมานางนาคต้องมาสิ้นใจ...ตายทั้งกลม !!!... เพราะทนความเจ็บปวดจากการคลอดลูกไม่ไหว เมื่อตายแล้วพวกชาวบ้านช่วยกันเอาศพของนางไปฝังไว้ที่ใต้ต้นตะเคียนคู่ แต่ด้วยความรักผัว จึงไม่ยอมไปผุดไปเกิด เฝ้ารอวันที่ผัวจะกลับมา...จากนั้นก็มักจะมีคนเห็นว่า นางนาคออกมาสำแดงตนให้เห็นอยู่บ่อยๆ บางทีก็เห็นมาผูกเปลกับต้นตะเคียนคู่ แล้วจะเห่กล่อมลูกด้วยเสียงที่โหยหวน...ชาวบ้านพากันหวาดกลัวผีแม่นาคเป็นอันมาก จนเมื่อถึงวันที่ทิดมากได้กลับมาบ้านเห็นแม่นาคนั่งกล่อมลูกอยู่ที่ชานหน้าบ้าน ด้วยความดีใจรีบวิ่งไปหาลูกเมีย แต่...ก็ต้องสะดุ้งเมื่อตัวของนางนาคเย็นผิดปกติ แม่นาคเหมือนจะอ่านใจผัวออก รีบยกสำรับข้าวปลาอาหารออกมารับขวัญ และตั้งแต่นั้นมาทิดมากกับนางนาคก็อยู่กินกันตามปกติเหมือนเดิม แม้จะมีชาวบ้านแอบมาบอกว่า... นางนาคตายแล้ว ทิดมากก็ไม่ยอมเชื่อ และยังตามหลอกหลอนผู้ที่มาบอกความจริงกับผัวของตน


จนกระทั่งวันหนึ่ง...ทิดมากนั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน ส่วนนางนาคก็กำลังทำกับข้าวตำน้ำพริกอยู่ในครัวบนเรือนเผอิญทำมะนาวหลุดมือหล่นไปใต้ถุนบ้าน นางนาค... รีบหย่อนมือที่ยาวเฟื้อยผิดจากปกติลงไปเก็บด้วยความรวดเร็ว


ทิดมากเห็นดังนั้นก็ตกใจมากจนหนีไปพึ่งวัด สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง ท่านรู้ข่าวการอาละวาดของผีแม่นาคซึ่งก่อความหวาดกลัวและเดือดร้อนแก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก แม้แต่หมอผีเก่งๆ ก็ยังพ่ายแพ้ ท่านจึงลงไปค้างที่วัดมหาบุศย์ และเรียกนางนาคขึ้นมาคุยกัน ผลสุดท้าย...ท่านเจาะเอากระดูกหน้าผากของนางมาลงยันต์และทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอวผีนางนาคก็ไม่ออกมาอาละวาดอีกเลย

















ภาพวาดจากนิมิตของพระอาจารย์หนู
วัดสุทธาราม (วัดพระฉิม)
ตอนที่พระอาจารย์อาพาธหนัก
นอนอยู่โรงพยาบาล "ย่านาค"
ได้ไปช่วยรักษาจนท่านหาย ตั้งแต่นั้นมา
พระอาจารย์ก็วาดภาพย่านาค เก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์
เป็นผลงานปฏิมากรรมของท่านที่วัดฯ


เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆตำนานแม่นาคพระโขนงที่เล่าต่อๆกันมา...ส่วนจะมีจริงหรือไม่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้...และใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็เป็นสิทธิของแต่ละคน แต่ที่ตำนานแม่นาคพระโขนงคงความอมตะมาจนถึงทุกวันนี้ได้ นอกจากเรื่องชวนขนหัวลุกแล้ว ตำนานแห่งความรักที่มั่นคงของแม่นาคต่อทิดมากนั้น ถือเป็นหนึ่งในตำนานรักอมตะของเมืองไทยที่น่าเทิดทูนยกย่องเป็นอย่างยิ่ง...ความตายแม้พรากจาก... แต่ความรักของแม่นาคยังคงอยู่เป็นนิรันดร์...
























Issue: BKN. Vol.30 October 2008

ขอขอบคุณภาพจาก:

IN THAILANDMAG Life Style









IN THAILAND MAG.
(Changing the face of travelling life style.)
FREE EXCLUSIVE MEMBER MAGAZINE







ได้รับ ๔ รางวัลพระราชทาน นิตยสารดีเด่น ประจำปี ๒๕๕๒-๒๕๕๓
รางวัล เทพทองพระราชทาน สาขาส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย
รางวัล คนดีศรีแผ่นดิน สาขาอนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรมไทยด้านการท่องเที่ยว
รางวัล บุคคลตัอย่าง สาขาส่งเสริมอนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรมไทย
รางวัล ผู้อนุรักษ์ภูมิปัญญาแผ่นดิน สาขาอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ด้านส่งเสริมการท่องเที่ยว



























สำหรับผู้รักการท่องเที่ยวทุกรูปแบบสำหรับชาวไทยและชาวต่างประเทศการอนุรักษ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และประเพณีของไทยแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆ และการอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมทั้งเสนอข่าวสารการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศไทย ในรูปแบบต่างๆ, แนะนำผลิตภัณฑ์ OTOP ที่ได้รับประกันคุณภาพทั่วประเทศ, แนะนำสาระประโยชน์ในเรื่องทั่วๆ ไป อาทิ เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง (ตามแนวพระราชดำรัส), ส่งเสริมพุทธศาสนา, จริยธรรมไทย, สุขภาพ, การถ่ายภาพ, การออกกำลัง, ตำนานโบราณของไทย, อาหารไทย, แนะนำสถานที่พักและร้านอาหาร นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่รักการถ่ายภาพ เพื่อเก็บภาพเป็นความประทับใจ